23.05.201821:04:00UTC+00ตลาดวอลล์สตรีตได้ปรับตัวหลังจากมีการรายงานผลการประชุมของเฟด

ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาได้ฟื้นตัวขึ้น ในวันพุธหลังจากที่รายงานจาก ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ในผลการประชุมของวันที่ 2 เดือนพฤษภาคม ได้ยืนยันว่าผู้กำหนดนโยบายได้สนับสนุน ต่อการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน และใช้จุดยืดเดิมเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ ส่วนตลาดหุ้นได้อยู่ภายใต้แรงกดดันในตอนแรก เนื่องจากปัญหาทางการเมือง และการค้ายังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 52.4 จุด โดยปิดตัวที่ 24,886.81 ซึ่งทำให้เกิดการปรับตัวขึ้นมาใน Boeing และ McDonald สำหรับดัชนี S & P 500 ได้เพิ่มขึ้นมา 0.3% ไปในระดับที่ 2,733.29 หลังจากที่ไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นมา จึงส่งผลให้มีการปรับตัวอย่างมากจาก ภาคสาธารณูปโภคและอสังหาริมทรัพย์ ส่วนดัชนีคอมโพซิตได้ปรับตัวขึ้นมาที่ 0.6 เปอร์เซ็นต์ ไปปิดที่ 7,425.96 ขณะที่ทางด้าน Apple, Amazon, Facebook และ Netflix ได้นำหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นมา

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา การค้าและความกังวลทางการเมือง ได้ส่งผลเข้ามาสู่ตลาด ทางด้าน ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ออกมากล่าวแก่ผู้สื่อข่าวเมื่อวันอังคารว่า เขายังไม่ค่อยพอใจกับความคืบหน้าของการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและ ประเทศจีน นอกจากนั้นแล้ว เขายังออกมาให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดทางการค้าเพื่อลดระดับการส่งออกเหล็ก และอะลูมิเนียมในสหภาพยุดรป ที่ไปยังสหรัฐอเมริกาถึง 10 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้แล้ว เขายังบอกด้วยว่าการประชุของผู้นำประเทศเกาหลีเหนือ Kim Jong Un อาจไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้

ดัชนีดาวโจนส์ เริ่มลดลงไปมากกว่า 100 จุด หลังจากที่เป้าหมายของผู้ค้าปลีกรายใหญ่ ได้รายงานออกมาว่า ผลกำไรไม่ได้เป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ไว้ เป้าหมายของเมือง Minneapolis พุ่งขึ้นไปมากกว่า 5.5% หลังจากที่รายงานผลประกอบการของไตรมาสแรก ที่ไม่ได้ตรงกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์จากทั้งเส้นแบ่งเขตทั้งขาขึ้น และขาลง

หุ้นของกลุ่มอุตสาหกรรม General Electric ได้ร่วงลงมา 7.2% เนื่องจากเป็นผลประกอบการแย่ที่สุดในรอบ 1 วันนับตั้งแต่ปี 2009 ที่ผ่านมา หลังจากที่ทางด้านหัวหน้าผู้บริหาร John Flannery กล่าวว่า บริษัทคาดการณ์ว่าจะไม่มีการเติบโตของผลกำไรในปีนี้ จากการที่ภาคธุรกิจด้านพลังงานหยุดได้ปรับตัวลงไป

กลับไปที่รายการ