13.09.201916:55:00UTC+00เงินดอลลาร์ยังอ่อนตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ โดยส่วนใหญ่

เงินดอลลาร์สหรัฐ ยังคงอ่อนค่าลง เมื่อนำมาเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ในวันศุกร์ จากที่กำลังจะมีการทบทวนนโยบายการเงินของธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ที่จะถึงกำหนดในอีกไม่กี่วันนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐ ย้อนกลับขึ้นมาส่วนหนึ่ง จากข้อมูลที่ได้แสดงให้เห็นว่า ยอดการค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ในรอบเดือนสิงหาคม หลังจากที่อ่อนต่าลงไปในช่วงแรก ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งปรับตัวลงไปสู่ระดับต่ำสุดที่ 98.00 ในช่วงแรกของตอนเช้า ได้ฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 98.30 ในช่วงเช้าตรู่ แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าแนวราบ มันสามารถเห็นได้ครั้งล่าสุดที่ระดับ 98.17 ซึ่งลดลงไปอยู่ที่ระดับ 0.14% จากการปิดครั้งก่อนหน้านี้ เงินดอลลาร์สหรัฐ ได้ลดลงไปอยู่ที่ระดับ 0.14% ใน 1.1078 เมื่อนำมาเทียบกับเงินยูโร โดยเงินดอลลาร์ อ่อนค่าลงมาใน 1.1111 ในช่วงแรกของรอบวัน ข้อมูลจากสถาบัน Eurostat แสดงให้เห็นว่า ยอดการเกินดุลทางการค้าของยูโรโซน เพิ่มขึ้นมาในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นมาตามฤดูกาลนี้ถึง 19 พันล้านยูโรจากเดิมที่ระดับ 17.7 พันล้านยูโร ในเดือนมิถุนายน สำหรับการส่งออก เพิ่มขึ้นมาเท่ากับ 0.6% ในเดือนกรกฎาคม จากเดิมในเดือนมิถุนายน ส่วนการนำเข้ายังคงทรงตัวได้ เงินปอนด์ ปรับตัวขึ้นมาอย่างมาก เมื่อนำมาเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยมีหน่วยต่อเงินปอนด์ มาอยู่ที่ระดับ 1.2505 ดอลลาร์หรือ เพิ่มขึ้นมาประมาณ 1.5% จากระดับการปิดตัวก่อนหน้านี้ เนื่องจากความหวังที่เพิ่มขึ้นมาที่ สหราชอาณาจักรอังกฤษ จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ Brexit แบบไม่มีข้อตกลง เมื่อวันที่ 31 เดือนตุลาคม และ มีโอกาสที่ข้อกฎหมายมาตรา Article 50 จะขยายเวลาออกไปจนถึงเดือนมกราคม ปี 2020 เงินเยนของญี่ปุ่น อยู่ที่ระดับ 108.12 ต่อดอลลาร์ โดยมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย จากการปิดตัวก่อนหน้านี้ ข้อมูลฉบับสุดท้ายจากกระทรวงเศรษฐ, การค้าและ อุตสาหกรรม แสดงให้เห็นว่า การผลิตของภาคอุตสาหกรรมในประเทศญี่ปุ่น ขยายตัวออกมาตามที่ได้คาดการณ์ไว้ในเดือนกรกฎาคม โดยเพิ่มขึ้นมาเป็น 1.3% ในเดือนนี้ เงินดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 0.5% เมื่อนำมาเทียบกับเงินดอลลาร์แคนาดา ที่มีการซื้อขายของคู่สกุลเงินนี้อยู่ที่ 1.3282 เงินดอลลาร์สหรัฐ ลดลงไปถึง 0.23% ที่มีการซื้อขายของคู่สกุลเงินนี้อยู่ที่ 0.6882 เมื่อนำมาเทียบกับเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย ส่วนเงินฟรังก์สวิส ยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 0.9903 รายงานที่นำเสนอออกมาจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกา ในช่วงแรกของรอบวัน ได้แสดงให้เห็นว่า ยอดการค้าปลีกในสหรัฐอเมริกา ปรับตัวขึ้นมามากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในรอบเดือนสิงหาคม เนื่องจากยอดการขายรถยนต์ที่พุ่งสูงขึ้น ในรายงาน ยังระบุอีกว่า ยอดการค้าปลีก เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 0.4% ในเดือนสิงหาคม หลังจากที่เคยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเป็น 0.8% ในเดือนกรกฎาคม ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ คาดการณ์ว่า ยอดการค้าปลีก จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 0.2% เมื่อนำมาเทียบกับ การเพิ่มขึ้นมาถึง 0.7% แต่เดิมที่มีการรายงานไว้ในเดือนก่อนหน้านี้ ยอดการค้าปลีก ที่เพิ่มขึ้นไปมากกว่าที่คาดการณ์ไว้นั้นมาจาก ยอดการขายรถยนต์และ ตัวแทนจำหน่ายชิ้นส่วน เพิ่มขึ้นมาเท่ากับ 1.8% ในเดือนสิงหาคม หลังจากที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 0.1% ในเดือนกรกฎาคม ข้อมูลจากกระทรวงแรงงาน แสดงให้เห็นว่า ราคาการนำเข้าลดลงไปเหลืออยู่ที่ 0.5% ในเดือนสิงหาคม หลังจากที่เคยมีการปรับตัวขึ้นมาจากเดิมใน 0.1% ของเดือนกรกฎาคม ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ คาดการณ์ไว้ว่า ราคาการนำเข้าอาจจะลดลงไปอยู่ที่ระดับ 0.4% รายงานเบื้องต้นจาก University of Michigan ได้ระบุให้ทราบถึง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้ดีดตัวขึ้นไปมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในรอบเดือนกันยายน รายงานยังระบุอีกว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพิ่มขึ้นมาสู่ระดับที่ 92.0 ในเดือนกันยายน หลังจากที่มีการปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีที่ระดับ 89.8 ในเดือนสิงหาคม ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ ได้คาดการณ์ไว้ว่า ดัชนีจะเพิ่มขึ้นมาเป็น 90.9 การปรับตัวขึ้นที่มากกว่าตามที่คาดการณ์ไว้ จากดัชนีทั่วไป มาจาก ดัชนีภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 106.9 ในเดือนกันยายนจากเดิมอยู่ใน 105.3 ในเดือนสิงหาคมและ ดัชนีคาดการณ์ของผู้บริโภค เพิ่มขึ้นมาเป็น 82.4 จาก 79.9