จากการเพิ่มขึ้นของความหวังที่จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาภายใต้อิทธิพลการดำเนินงานของนาย Donald Trump โดยที่"แนวโน้มขาลง" ของคู่สกุลเงินยูโรและดอลลาร์สหรัฐ (EUR/USD) ต้องเข้าไปในการเคลื่อนตัวแบบสวนทาง และผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคน "Harvey" และ "Irma"ไม่ได้หนักเท่ากับการคาดการณ์ไว้ในตอนแรกนอกจากนั้นแล้วในบันทุกยังแสดงให้เห็นอีกว่าพายุ "Katrina" มีกำลังมากกว่าพายุทั้งสองเมื่อทางธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกาทำการปรับอัตราดอกเบี้นของประเทศในปี 2004 ดังนั้นแล้วภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเกิดขึ้นแค่ชั่วคราวและสุดท้ายแล้วจะยุติด้านการดำเนินการก่อสร้างแล้วยังมีส่วนดีต่อยอด GDP ในเวลาเดียวกันนั้นยังมีแนวคิดในการปฏิรูปภาษีซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2016 แล้วยังชวยผยุงดัชนีดอลลาร์สหรัฐขึ้นมาในตลาด

หากลองมาพิจารณาจากความเห็นของพรรครีพับลิกันแล้วจะพบว่าร่างกฎหมายของการเปลี่ยนแปลงระบบภาษีจะมีผลบังคับใช้งานทันทีในสัปดาห์ของวันที่ 25 กันยายน ในส่วนนี้นั้นบางคนอาจจะเดาได้ถึงการดำเนินการเบื้องต้นของการปฏิรูปและผลกระทบของมันที่จะมีต่อเศรษฐกิจของประเทศอเมริกา ดังนั้นแล้วประธานาธิบดีได้ออกมาให้ข้อมูลแค่เพียงว่าคนรวยไม่ควรได้รับสิทธิพิเศษเกิดไป ซึ่งขัดแย้งกับการแถลงการณ์ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการลดภาษีนิติบุคคลและภาษีอสังหาริมทรัพย์ แต่ถึงอย่างไรก็ตามมีข้อเท็จจริงออกมาว่านาย Trump ได้เปลี่ยนใจอีกแล้วตามที่หลายคนได้คาดการณ์เอาไว้

กาปรับตัวขึ้นมาของยอด GDP ของสหรัฐอเมริกาอยู่ในอัตราที่รวดเร็วพร้อมกับนโยบายทางการเงินแบบรัดกุมจากทางธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกาเมื่อเทียบกับสิ่งที่ทางตลาดได้รอคอยอยู่ในปัจจุบัน ขณะที่รัฐบาลเองมีความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อ โดยน่าจะเป็นที่เข้าใจได้ว่าสภาวะนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากในปี 1970 มีระดับเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 7.1 ส่วนปี 1980 อยู่ที่ร้อยละ 5.6 ในปี 1990 อยู่ในร้อยละ 3 และในช่วงปี 2000 อยู่ในร้อยละ 2.6 แต่ตอนนี้อยู่ต่ำกว่าร้อยละ 2 สำหรับหน้าที่ต่อยุคโลกาภิวัฒน์และเทคโนโลยีนั้นได้เพิ่มการแข่งขันและกระตุ้นให้ผู้ผลิตทำการลดราคาลงไป ซึ่งสอดคล้องกับการที่ทางธนาคารเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของประเทศขึ้นมาในร้อยละ 3-3.5 หรืออาจจะมากกว่านั้นจากที่เคยเป็น แม้ว่ามันไม่ได้มีความสำคัญมากนัก สำหรับวัฏจักรของข้อกำหนดทางการเงินของทางธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกาได้บรรลุแล้วเรียบร้อยก่อนหน้านี้และการดำเนินการในจุดนี้จะดึงดูดผู้ขายสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐให้เข้ามาในตลาด

กระแสการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยของประเทศ

แหล่งที่มา: Trading Economics.

แนวโน้มของทางด้านสกุลเงินยูโรพบว่าอยู่ในแนวโน้มที่ดี เนื่องจริงมีการขาดวัฏจักรทางเศรษฐกิจในยุโรปเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา โดยที่ทางธนาคารกลางแห่งยุโรปได้ใช้อัตราเดิมอย่างที่ทางธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกาออกมาใช้ในปี 2014 ดังนั้นแล้วตอนนี้ธนาคารกลางแห่งยุโรปก็เตรียมพร้อมสำหรับการปรับนโยบายทางการเงินและตอนนี้ คู่สกุลเงินยูโรและดอลลาร์สหรัฐ (EUR/USD)ก็มีการปรับระดับขึ้นมา ในเดือนตุลาคม คุณ Mario Draghi จะออกมารายงานเกี่ยวกับการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ซึ่งมันจะช่วยก่อให้เกิดแนวโน้มในการซื้อสกุลเงินยูโรเพิ่มขึ้นมา

ควรจะทราบกันว่าในช่วงสุดท้ายของวัฏจักรของการใช้นโยบายทางการเงินแบบรัดกุมในปี 2005-2008 พบว่าสกุลเงินของประเทศได้แข็งค่าขึ้นมาเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐถึงร้อยละ 30 แล้วหากแนวโน้มนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง สกุลเงินในระดับที่ 13เปอร์เซ็นต์ก็เป็นจุดเริ่มต้น จากตรงนี้จะพบได้ว่ามันเป็นเหตุเป้นผลกับการที่เทรดเดอร์ยังคงใช้กลยุทธ์ตามเดิมในคู่สกุลเงินนี้ในการซื้อและจ่ายออกไป

ทางเทคนิคแล้วจะพบว่ามีการขาแนวโน้มขาขึ้นในการผลักดันให้ราคาไปอยู่เหนือเป้าหมายที่ 161.8เปอร์เซ็นต์ในกราฟรูปแบบ AB = CD ที่แสดงให้เห็นถึงจุดอ่อน ดังนั้นแล้วการสร้างแนว double vertex ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการปรับระดับในทิศทางของขอบเขตด้านล่างของช่องทางการเทรดด้านบน

แผนผังรายวันของคู่สกุลเงินยูโรและดอลลาร์สหรัฐ (EUR/USD)