ตามการรายงานของข้อมูลจะพบได้ว่า การขาดดุลในงบประมาณของประเทศฝรั่งเศส ในรอบสี่เดือนแรกของปีนี้ ได้ลดลงไปเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2017

ดังนั้นแล้ว จึงเป็นการขาดดุลในงบประมาณในมูลค่าถึง 54.3 พันล้านยูโร ในช่วงสิ้นเดือนเมษายนปีนี้ เมื่อเทียบกับ 57.9 พันล้านยูโร ในสิ้นเดือนเมษายนปี 2017 ตามที่ได้ระบุไว้ในรายงานของกระทรวงการคลัง ก็คือการขาดดุลได้ลดลงไป อันเป็นผลมาจากการลดระดับลงอย่างมากของ ค่าใช้จ่าย รวมทั้งการระดมทุนเพิ่มของทางบริษัทด้านพลังงาน และเป็นที่น่าสังเกตว่า รายได้จากภาษีก็น่าจะลดลงด้วยเช่นกัน

ตามที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น ก็คือยอดค้าปลีกในเขตยูโรโซน เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สกุลเงินยูโร ได้ร่วงลงไปในช่วงครึ่งแรกของปี

อ้างอิงจากการรางานของข้อมูล ในเดือนเมษายนของปีนี้ ยอดการค้าปลีกในเขตยูโรโซน ได้เพิ่มขึ้นมาเพียง 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้รับการปรับปรุงขึ้น เพื่อให้มีการเติบโตขึ้นมาถึง 0.4% หากนำมาเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2017 จะพบได้ว่า ยอดการค้าปลีกจะเพิ่มขึ้นมาถึง 1.7% เมื่อเทียบกับ การปรับตัวขึ้นถึง 1.5% ในปี 2017 ดังนั้นแล้ว การรายงานด้านการขาย อาจจะส่งผลกระทบต่อยอด GDP ของยูโรโซนในไตรมาสที่สองของปีนี้ ซึ่งจะมีผลกระทบเป็นผลเสียต่อสกุลเงินยุโรปในระยะกลาง

ในวันนี้ เป็นครั้งแรกสำหรับ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศอิตาลี คุณ Giuseppe Conte ที่จะออกมาแถลงการณ์ต่อหน้าวุฒิสภา โดยเขาได้กล่าวว่า ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจหลัก ๆ จะยังไม่บรรลุ ไปยังระบบเศรษฐกิจที่เข้มงวดมากขึ้น แต่ยังเป็นช่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งจะช่วยลดหนี้สาธารณะลงไป

คุณ Conte ยังกล่าวอีกว่า ประเทศอิตาลีจะเริ่มต้นใช้ ค่าจ้างรายชั่วโมงขั้นต่ำและรายได้ขั้นพื้นฐานสากล เขายังตั้งข้อสังเกตถึง ระบบภาษีจะปรับให้มีความเรียบง่ายขึ้นและเป็นธรรมมากขึ้นอีกด้วย

สำหรับภาพรวมทางเทคนิคจะพบได้ว่า มันก็ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เมื่อนำมาเทียบกับ การคาดการณ์ในตอนเช้า สำหรับความกดดันด้านเงินยูโรยังคงตัวอยู่ ซึ่งจะค่อยๆผลักดันให้ตราสารการซื้อขายกลับไปยังระดับที่สำคัญๆของแนวรับในพื้นที่ 1.1620

เงินปอนด์ได้แข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่มีการรายงานระบุถึง กิจกรรมในภาคการบริการของสหราชอาณาจักรอังกฤษ ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นมาในเดือนพฤษภาคมของปีนี้ จึงส่งผลให้การเติบโตทางด้านเศรษฐกิจดีขึ้น หลังจากที่อ่อนตัวลงในช่วงต้นปี

อ้างอิงจากบริษัทด้านวิจัยอบย่าง IHS Markit ได้ออกมาระบุว่า ดัชนีผู้จัดการด้านอุปทานของภาคการบริการ ในรอบเดือนพฤษภาคม ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 54.0 จุด จากเดิมใน 52.8 จุดในรอบเดือนเมษายน ดังนั้นขอแจ้งให้คุณทราบว่า มูลค่าดัชนีสูงกว่า 50 จะบ่งบอกถึงการเพิ่มขึ้นของกิจกรรม