จุดยืนของกรุงปักกิ่งที่จะตอบโต้ สหรัฐอเมริกานั้น ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐอเมริการ่วงลงมา สำหรับความขัดแย้งทางการค้าที่เพิ่มขึ้นมา ส่งผลทันทีต่อตลาดแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ในนิวยอร์ก ดัชนีดาวโจนส์ลดระดับลงไปถึง 695.21 จุดหรือคิดเป็น 2.68 เปอร์เซ็นต์ ในเซสชั่นการซื้อขายนั้นและ เข้าสู่ 25,247.16 จุด นอกจากนั้น ดัชนี S&P ซึ่งรวมถึง 500 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา ได้ลดระดับลงไปถึง 79.87 จุดหรือ 2.77 เปอร์เซ็นต์และ ทรงตัวอยู่ในระดับที่ 2,801.53 จุด ส่วนดัชนี NASDAQ ปรับตัวลงไปถึง 247.36 จุดหรือ 3.12 เปอร์เซ็นต์ ไปเป็น 7,669.58 จุด จากการทิ้งตัวลงไปอย่างมากเช่นนั้น เกิดขึ้นมาจาก จุดยืนของประเทศจีนในการจะเพิ่มอัตราภาษีต่อสินค้าอเมริกาขึ้นไปมากกว่า 5,000 รายการ โดยมีมูลค่าประมาณ 60 พันล้านดอลลาร์ สำหรับอัตราภาษีเหล่านี้ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เดือนมิถุนายน เว้นเสียแต่ทุกฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้

ประเทศจีน ตัดสินใจที่จะเพิ่มอัตราภาษี เพื่อเป็นการตอบโต้สำหรับการปรับค่าธรรมเนียมขึ้นมาเช่นกันจากทางสหรัฐอเมริกา โดยทางสหรัฐอเมริกา ไม่ได้มีการออกมาขู่แล้ว แต่ได้กำหนดอัตราภาษีในระดับที่สูง สำหรับการส่งออกของจีนเลย ตั้งแต่การเริ่มต้นของสงครามการค้านั้น ภาษีได้เพิ่มขึ้นมาจากเดิมที่ 10 ไปเป็น 25เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าถึง 200 พันล้านเหรียญ มาตรการที่รุนแรงเช่นนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่กรุงปักกิ่ง ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดส่วนใหญ่ของสหรัฐอเมริกาที่ได้ให้ไว้ ในข้อตกลงทางการค้าที่เป็นฉบับร่าง นอกจากนั้นจีน ยังพิจารณาคำแถลงการณ์ของประธานาธิบดีอเมริกา นาย Donald Trump เกี่ยวกับ ความจำเป็นในการลดอัตราดอกเบี้ยลงไป อันเนื่องมาจากมันเป็นสัญญาณว่า เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามีความเสถียรน้อยลง ดังนั้น กรุงปักกิ่งจึงตัดสินใจ ที่จะใช้แนวทางที่เข้มงวดในการเจรจาด้านการค้าและ มันก็เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงอีกด้วย