การเปลี่ยนแปลงของสัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า ถูกครอบงำไปด้วยสองปัจจัย นั้นก็คือ ความคิดเห็นของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาและ ยานพาหนะทางอากาศที่ไม้มีคนควบคุม ในขณะที่การจัดการของนาย Trump ผ่านทางคำพูดเท่านั้น แล้วไม่ก่อให้เกิดความเสียหายทางกายภาพใดๆ พวกเขาทำให้ราคาน้ำมันตกไปอยู่ภายใต้แรงกดดัน ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ผลลัพธ์จากการโจมตีของโดรน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและ ไปกระตุ้นให้เกิดการปรับตัวในกลุ่มของสินค้าโภคภัณฑ์ หลังจากประเทศซาอุดิอาระเบียออกมารายงานถึง การโจมตีหลายต่อหลายครั้ง ในโรงงานผลิตน้ำมัน ราคามันก็เริ่มสูงขึ้น ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของประเทศซาอุดิอาระเบีย คุณKhalid Al-Falih เรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็น "การกระทำที่ขี้ขลาดในการก่อการร้าย" เขาเสริมอีกว่า ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจาก ไฟไหม้ ซึ่งเป็นผลมาจาก การโจมตีในสถานีท่อทั้งสองแห่ง และท่อส่งระหว่างตะวันออกและใน Yanbu แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การโจมตีเหล่านั้นก็เพียงพอ ที่จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ดังนั้น สัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าของเบรนท์ ที่จะมีการส่งมอบในเดือนกรกฎาคม จึงปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 1.45% โดยคิดเป็น 71.25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในขณะที่สัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าของ WTI ปรับตัวขึ้นมาเป็น 1.49% โดยคิดเป็น 61.95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

สิ่งที่น่าจับตามองคือการโจมตีท่อส่งน้ำมัน โดยโดรนที่บรรทุก วัตถุระเบิดนั้นไม่เคยมีมาก่อน สำหรับกบฏในซีเรียและ เยเมน ใช้กลยุทธ์เหล่านี้มาก่อนแล้ว แต่ในซาอุดิอาระเบียนั้น เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก นอกจากนั้นการโจมตีถูกดำเนินการถึงสองครั้ง มันจึงยิ่งทำให้หลายอย่างแย่ลงมากกว่าเดิม นอกเหนือจากท่อส่งน้ำมันแล้ว เรือบรรทุกน้ำมันของซาอุดิอาระเบียทั้งสองลำเรือก็ด้วย โดยลำหนึ่งเป็นของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอีกลำหนึ่งเป็นเรือบรรทุกน้ำมันของนอร์เวย์ ได้ตกเป็นเป้าของการโจมตีทางวินาศกรรม อย่างไรก็ตาม การกระทำด้วยความรุนแรงเหล่านั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดการหยุดชะงักในการผลิตจากซาอุดิอาระเบีย ส่วนตอนนี้ รัฐบาลมีเหตุผลที่จะแสดงท่าทีอย่างฉับพลัยนต่อผู้ก่อการร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขบวนการของ Houthi ที่มีข่าวว่าทางประเทศอิหร่านให้การสนับสนุนอยู่