นักเก็งกำไร ผู้ที่ได้ตัดสินใจในการลงทุนต่อเงินหยวนของจีน ได้พบกับการขาดทุนอย่างมาก ตามระดับต่ำสุดในช่วงปลายเดือนสิงหาคม โดยเงินหยวน ได้เข้ามาสู่ช่วงที่มีการขาดทุน ในวันที่ 1 เดือนกันยายน สหรัฐอเมริกา กำหนดอัตราภาษีครั้งใหม่ สำหรับการนำเข้าที่เป็นที่นิยมจากประเทศจีน สำหรับสงครามการค้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ส ได้ไปกระตุ้นทำให้กรุงปักกิ่งต้องออกมาตอบโต้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ของจีน มีขอบเขตจำกัดต่อมาตรการในการจัดการ หนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่ผ่านการทดสอบมาด้วยเวลาถือว่าเป็น การลดค่าของสกุลเงินประจำชาติ ในการพยายามเอาชนะการได้เปรียบทางการแข่งขัน ในกลุ่มของผู้ส่งออกคนอื่นๆ ทางธนาคารประชาชนของจีน ได้ตัดสินใจลดค่าเงินหยวนลงไป สำหรับเดือนที่แล้ว เงินหยวนร่วงลงมามากกว่า 4% เมื่อนำมาเทียบกับ เงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ลงไปมากที่สุด นับตั้งแต่เดือนมกราคม 1994 ที่ทางธนาคารกลางของจีน ได้ปรับใช้นโยบายอันทันสมัย ในการปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน นอกเหนือจากนี้ ในเดือนสิงหาคม เงินหยวนได้ก้าวผ่านระดับจิตวิทยาที่สูงกว่า 7 ต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินระดับโลก อันที่จริงแล้ว ประเทศจีนอาศัยการลดค่าเงิน เพื่อความอยู่รอดในช่วงเวลาที่มีปัญหา ในครั้งนี้ ทำเนียบขาวได้โต้ตอบด้วยอัตราภาษีถึง 10% ในส่วนของการนำเข้าของจีนที่มีมูลค่าถึง 300 พันล้านเหรียญ เพื่อที่จะสามารถกำหนดด้วยภาษีทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ทาวเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐอเมริกาและ ทางประเทศจีน ยืนยันว่า การเจรจาทางการค้า จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่กรุงวอชิงตัน ถ้าหาก ผู้เข้าร่วมในตลาด ยังไม่พบหลักฐานของความคืบหน้า ในความสัมพันธ์ทางการค้า ระหว่างสหรัฐอเมริกาและ จีน สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายกว่าเดิมในเศรษฐกิจของจีนและ ตลาดการเงินระดับโลก ทางด้านธนาคารประชาชนของจีน สามารถผลักดันเงินหยวนทำให้ไปอยู่ในระดับที่อ่อนแอเท่ากับ 7.5 เมื่อนำมาเทียบกับ เงินดอลลาร์สหรัฐ ภายในช่วงสิ้นปีนี้ จากการดำเนินการครั้งนี้ จะทำให้สินค้าของจีน ดึงดูดผู้ซื้อจากต่างประเทศให้เข้ามามากขึ้น ในช่วงสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าที่เกิดขึ้นอยู่ของเงินหยวน อาจมีผลข้างเคียงตามมา หนึ่งในนั้นก็คือ การไหลเวียนออกนอกประเทศจีน ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาทางการเงิน ไปจนถึงเศรษฐกิจภายในประเทศ