หลังจากที่มีการปรับตัวที่ผิดปกติในช่วงปี 2018 เงินดอลลาร์และทองคำค่อยๆมีการปรับตัวย้อนกลับขึ้นมาในตัวกระตุ้นก่อนหน้านี้ ถ้าในเดือนมกราคมและในช่วงครึ้งแรกของเดือนกุมภาพันธ์พบว่า มีการปรับตัวขึ้นมาของอัตราผลตอบแทนในพันธบัตรสหรัฐอเมริกา ที่ทำให้นักลงทุนหลายคนเกิดความสับสนและทำให้ ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐลดระดับลงไป ต่อจากนั้นในช่วงการนำเสนอผลการประชุมของ การประชุมคณะกรรมการผู้กำหนดนโยบายทางการเงิน หรือ FOMC ในเดือนมกราคมออกมา ซึ่งดูแล้วว่าสถานการณ์จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก โดยที่โลหะมีมูลค่าได้ไปอยู่ในระดับเดิมๆ เมื่อแนวโน้มต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยจากส่วนกลางได้กระตุ้นให้เกิดแรงการขายออกมา และยังมีส่วนทำให้เกิดการซื้อที่มากขึ้นอีกด้วย

ตามความเห็นของฉันคิดว่า ความอ่อนแอในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนของนักลงทุนที่ สหรัฐอเมริกาอาจจะทำการเพิ่มจำนวนเงินขึ้นมาเพื่อปรับปรุงระบบภาษี ส่วนตัวกระตุ้นทางการคลังเองก็ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของการขาดดุลในงบประมาณถึง 1.5ล้านล้านเหรียญในรอบเกือบ 10 ปี แต่อีก 300พันล้านเหรียญ ในช่วงสองปีก็ยังมีการเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นแล้ว ผลของการขาย ซึ่งจะมีการรายงานออกมาเป็นมูลค่าถึง 258พันล้านเหรียญ ในช่วงรอลสัปดาห์ของวันที่ 23 เดือนกุมภาพันธ์ รวมทั้งอีก 96พันล้านเหรียญ ในรอบสามเดือน และ พันธบัตรอายุ 3 เดือน ที่อาจจะเป็นสิ่งที่น่าเก็บไปพิจารณษต่อไป หากชาวต่างชาติยังคงทำการซื้อตราสารรัฐบาลอเมริกาต่อไปเช่นนี้ แล้วทำไมดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐจะไม่ปรับตัวขึ้นด้านบนกันละ?

แน่นอนว่า ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจใน สหรัฐอเมริกาอาจจะยังไม่เพิ่มขึ้นมาแบบทวีคูณ เพราะว่า โอกาสในการปรับตัวของอัตราเงินเฟ้อ และ การปรับอัตราดอกเบี้ยถึงสี่ครั้ง ในอัตราเงินของส่วนกลางในปี 2018 อาจจะเพิ่มขึ้นมา รวมทั้ง ความต้องการครอบครองพันธบัตรรัฐฐาลที่เพิ่มขึ้่นมาจากประเทศอื่นๆ ซึ่งก่อให้เกิดการไหลเวียนเข้ามาของเงินทุน และความแข็งแกร่งของสกุลเงิน นอกจากนั้นแล้วทองคำเองก็เริ่มต้นได้รับผลกระทบ จากการปรับตัวขึ้นมาของเงินดอลลาร์จากระดับล่าง และการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยใน ETF ที่อาจจะแทนที่ด้วยการขายของพวกเรา ที่มีผลต่อหุ้นในบริษัทผู้ทำเหมืองแร่

การไหลเวียนของทุนในบริษัทผู้ทำเหมืองแร่ใน ETF Gold

แหล่งที่มา: Bloomberg.

ในทางตรงกันข้าม แนวโน้มระดับกลางของเงินดอลลาร์สหรัฐ ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะว่าอย่างที่เห็นได้ชัดว่า ตัวกระตุ้นทางการคลังในสภาวะของเศรษฐกิจที่มีกำลังแบบเต็มพิกัด ก็อาจจะสร้างความเสียหายได้มาก เพราะมันอาจจะไปเร่งเงินเฟ้อ ที่อาจจะทำให้ทางเฟดเริ่มออกมารับมือมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดสภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจ ในเวลาเดียวกัน ธนาคารกลางจากทั่วทุกมุมโลกที่ใกล้ชิดกับ ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ที่มีสภาวะการเติบโตของ GDP ที่สูง มีการเริ่มต้นใช้การปรับสมดุลของนโยบายทางการเงิน และหากในช่วงปี 2014-2016นั้น เงินดอลลาร์สหรัฐอาจจะทำหน้าที่เป็นปัจจัยที่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างทางการเงิน ต่อจากนั้นแล้วในปี 2017-2018 ก็อาจจะตามมาด้วย การดำเนินการแบบลู่เข้าตามเดิม ที่อาจจะลดระดับลงไปบ้าง

แน่นอนว่า ในการบรรลุ "แนวโน้มขาขึ้น" ของคู่ออนซ์ทองคำและดอลลาร์สหรัฐ (XAU / USD) อย่างเดียวนั้นเป็นเรื่องดีของเงินดอลลาร์ ในตอนแรกนั้นอาจจะดูไม่จริง ในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ การเคลื่อนไหวของทองคำได้รับอิทธิพลมาจากอัตราของตลาดตราสารในสหรัฐอเมริกา และการเมืองจนถึงด้านภูมิศาสตร์ และความเสี่ยงของนักลงทุน มันดูเหมือนว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไปแล้ว โดยตัวกระตุ้นก่อนหน้านี้อาจจะมีการปรับตัวย้อนกลับ แต่ก็ยังไม่ทำให้นักลงทุนหลายคนเลิกจับตามองดูดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ

ทางเทคนิคแล้ว ผลลัพธ์ของโลหะมีมูลค่าภายในช่องทางขาขึ้นด้านบน ที่อาจจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของการปรับฐานอย่างต่อเนื่องไปในทิศทางของ $ 1310-1315 และ $ 1,300 ต่อออนซ์ ในทางตรงกันข้าม การรายงานข้อมูลอาจจะอาจจะสร้างข้อกำหนดเบื้องต้นออกมาสำหรับการย้อนตัวกลับไปในด้านบน

แผนผังรายวันของทองคำ