ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์ไม่สามารถปรับตัวได้สำเร็จ แม้ว่าในตอนต้น จะยังคงเติบโตขึ้นมา แบบไม่ค่อยมีกำลังมากนัก มันปรากฏว่า จากการที่ขาดปัจจัยทางการเมืองนั้น ทำให้เงินดอลลาร์ไม่มีเหตุผลต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากข้อมูลสถิติของสหรัฐอเมริกา ยังค่อนข้างอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับข้อมูลจากยุโรปที่ผ่านๆมา โดยเฉพาะ อัตราการเติบโตของยอดค้าปลีก ที่ลดลงไปจาก 6.6% ไปเป็น 6.4% แม้ว่า อุตสาหกรรมการผลิตจะปรับตัวมากขึ้นจากเดิมใน 4.0% ไปเป็น 4.2% แต่มูลค่าของ ยอดการค้าปลีกกลับมีมากขึ้น และเนื่องจาก ข้อมูลที่ออกมาพร้อมๆในคราวเดียว ทำให้มีไม่กี่คน ให้ความสนใจต่อ การเติบโตของอุตสาหกรรม แน่นอนว่า การเติบโตของอุตสาหกรรมประเภทใดที่สามารถมาพูดคุยกันได้ ถ้าหากปริมาณสินค้าเชิงพาณิชย์มีการเติบโตเป็นเวลา 6 เดือนติดต่อกัน และในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มันก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกถึง 0.1% ดังนั้น นี้จึงแสดงให้เห็น ได้อย่างชัดเจนว่า ถ้าหากยอดขายไม่ได้เริ่มฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง แล้วทางด้านอุตสาหกรรมก็จะประสบภาวะการถดถอย แน่นอนว่าในวันถัดไป จะมีข้อมูลการก่อสร้างที่ดีนำเสนอออกมา เนื่องจากจำนวนโครงการก่อสร้างเริ่มเพิ่มขึ้นจาก 1,158 พันโครงการ ไปเป็น 1,168พันโครงกา และการออกใบอนุญาตการก่อสร้างจาก 1,292 พันใบ ไปเป็น 1,315 พันใบ พร้อมกันกับที่ ข้อมูลเกี่ยวกับการขอรับสวัสดิการจากการว่างงาน และมันก็ปรากฎออกมาว่า จำนวนตัวเลขของการขอรับโดยเบื้องต้นนั้น ลดลงมาจาก 214 พันราย ไปเป็น 212 พันราย แต่ก็ยังมีการขอรับตามเดิมจาก 1,760 พันราย ไปจนถึง 1,721 พันราย
แต่ในยุโรป จะมีการนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจออกมามากขึ้น ถ้าหากพวกเราพูดถึง พื้นที่ของยูโรโซนแล้วละก็ การผลิตภาคอุตสาหกรรม อาจจะเป็นเพียงส่วนเดียวที่ออกมาติดลบ โดยอัตราการเติบโตนั้น ได้ลดลงไปจากเดิมที่ 2.6% ไปเป็น 2.5% แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ GDP ในไตรมาสที่ 2 สะท้อนให้เห็นว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ แม้ว่าจะลดลงไปไม่ถึง 2.1% ตามที่ได้ประเมินไว้ได้การคาดการณ์ครั้งแรก แต่ไปเป็น 2.2% สำหรับไตรมาสแรกจะพบได้ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ได้อยู่ที่ 2.5% นอกจากนี้แล้ว ข้อมูลเงินเฟ้อสุดท้าย ก็แสดงให้เห็นว่า มันยังคงเติบโตขึ้นมา และปรับตัวขึ้นไปจาก 2.0% ไปเป็น 2.1% และในตอนแรกนั้น การลบเสี่ยงใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นไปได้ในการขยายมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางแห่งยุโรป ในสหราชอาณาจักรอังกฤษ มีการนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจออกมาจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราการว่างงาน ที่ลดลงไปจาก 4.2% ไปเป็น 4.0% แม้ว่า อัตราการเติบโตของค่าแรงจะลดลงไป แต่มันก็เป็นเรื่องปกติในการที่ต้องเผชิญหน้ากับ การว่างงานที่ลดลงไป นอกจากนั้น อัตราเงินเฟ้อยังคงเติบโตขึ้นมา อย่างต่อเนื่อง และไปอยู่ในระดับ 2.5% และถ้าเราระลึกถึงคำพูดของ ตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ที่ระบุออกมาเกี่ยวกับ ความเป็นไปได้ที่จะกลับมาใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของประเทศอังกฤษต่อไป โดยที่การเติบโตของเงินเฟ้อนั้นทำให้เกิด ความหวังที่ดีเช่นกัน แน่นอนว่า ยอดการค้าปลีกเพิ่มขึ้นจาก 2.9% ไปเป็น 3.5% และ ก็จะพูดได้ว่า แม้ว่า ประเทศรัสเซีย ที่มีการกำหนดการคว่ำบาตรครั้งใหม่ออกมา แต่ก็ยังแสดงการปรับตัวดีที่ตามมาได้ ส่วนอัตราการเติบโตในยอดการค้าปลีก ได้ลดลงไปจากเดิมใน 3.0% ไปเป็น 2.5% แต่ก็จบลงไปช่วงลบ นอกจากนี้ ในทางตรงกันข้ามกับสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป จะพบว่า ยอดการค้าปลีก ได้มีน้ำหนักน้อยกว่าทางด้านอุตสาหกรรม ที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 2.2% ไปเป็น 3.9% และอัตราการว่างงานยังคงไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ
ถ้าหากคุณลืมเกี่ยวกับ การเคลื่อนไหวของสหรัฐอเมริกา ในเวทีระหว่างประเทศไปแล้ว เงินดอลลาร์ก็อาจจะสูญเสียตำแหน่งไป ซึ่งจะไปอยู่ในช่วงตอนท้ายของสัปดาห์ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แนวโน้มนี้ก็เป็นไปได้ เนื่องจากมีความไม่แน่นอนที่อาจจะส่งผลดีต่อเงินดอลลาร์ แต่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น ในระยะยาว การเคลื่อนไหวของสหรัฐ จะลดความเชื่อมั่นในสกุลเงินดอลลาร์ลงไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในสหรัฐอย่างมาก
ในสัปดาห์นี้ จะมีเหตุการณ์ที่สำคัญถึงสองอย่างเกิดขึ้น และทั้งสองเหตุการณ์นี่ก็จะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ในอย่างแรก จะมีการนำเสนอผลการประชุม ของคณะกรรมาธิการแห่งสหพันธรัฐ เพื่อการดำเนินการในตลาดแบบเปิดเสรีออกมา โดยคาดว่าจะได้พบกับการยืนยัน ภายในช่วงสิ้นปีนี้ว่าเฟดจะเพิ่มอัตราการรีไฟแนนซ์อีกสองเท่า โดยการเพิ่มขึ้นของตัวเลขเหล่านี้ จะไปอยู่ในราคา ดังนั้นนี้จะไม่ทำให้เกิดไการเพิ่มขึ้นมาอย่างมากในค่าเงินดอลลาร์ แต่ถ้าหากนักลงทุนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดำเนินการต่อไปในอนาคตของเฟด ค่าเงินดอลลาร์จะต้องยกเลิกสถานะออกไป ในวันหลังจากที่มีการนำเสนอ การรายงานแนวทางของการประชุมประจำปี ที่จะเริ่มต้นขึ้นใน Jackson-Hole และแทบจะไม่มีข้อสงสัยว่า การริเริ่มการค้าต่างประเทศของทางทำเนียบขาว จะเป็นประเด็นสำคัญ แม้กระทั่งประเทศพันธมิตรของนาโตในสหรัฐอเมริกา ก็ยังมีคำถามและข้อสงสัยเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่สหรัฐอเมริกา ได้ออกมากำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อประเทศตุรกี ซึ่งมีกองทัพขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง ในบรรดากลุ่มประเทศในนาโต ถ้าหากสหรัฐอเมริกา กำหนดใช้มาตรการคว่ำบาตร แม้กระทั่งกับประเทศพันธมิตรของตนเอง มันก็แสดงถึงความประหลาดใจ และความไม่พอใจในข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับ การตอบโต้ต่อประเทศฝ่ายพันธมิตรของตนเอง ที่เป็นข้อจำกัดต่างๆ ในการนำเข้าสินค้าจากอเมริกา สิ่งอื่นๆที่พวกเราสามารถคาดหวังได้จากทำเนียบขาว? ก็คือการไม่สามารถคาดการณ์ได้ และความมั่นใจในตนเองของประเทศที่อยู่ในสกุลเงิน รวมทั้งที่อยู่ในการค้าระหว่างประเทศเกือบทั้งหมด ที่จะทำให้ลดความมั่นใจในตัวสกุลเงินเอง และเป็นตัวเงินดอลลาร์ โดยรวมแล้ว ทุกคนสามารถเห็นได้ว่า การคว่ำบาตรทั้งหมดนั้น ไม่ว่าเขาจะมีการกำหนดโดยใครก็แล้วแต่ มันล้วนแล้วเป็นเรื่องของเศรษฐกิจโดยธรรมชาติไปแล้ว เพื่อสร้างผลประโยชน์เพิ่มเติมให้กับบริษัทจากอเมริกา ถ้า ในเศรษฐกิจของอเมริกา ทุกอย่างล้วนดีเท่ากันหมดใน การนำเสนอข้อมูลทางสถิติ แล้วทำไมมันจึงเป็นเช่นนี้กันล่ะ? ดังนั้น คำถามมากที่มากขึ้น เกี่ยวกับสถานะที่แท้จริงของ กิจการที่แท้จริงของประเทศในเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และ มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่จะไม่ได้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับเงินดอลลาร์ อันที่จริง ในระยะสั้น ความไม่แน่นอนในระดับโลกโลก จะช่วยให้ค่าเงินดอลลาร์มีกำลังมากขึ้น และแน่นอนว่า มีไม่กี่ส่วนที่จะให้ความสนใจกับเรื่องของข้อมูลสถิติในเศรษฐกิจมหภาค เมื่อเทียบกับผลเสียในเหตุการณ์ที่ผ่านมาๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขายบ้านในตลาดมือสอง ที่จะเติบโตขึ้นจาก 5.38 ล้าน ไปเป็น 5.42 ล้าน และการขายบ้านหลังใหม่จาก 631,000 ไปเป็น 650,000 ในขณะเดียวกันนั้นเอง จำนวนของการขอรับสวัสดิการจากการว่างงาน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น และจำนวนตัวเลขของกาขอรับสวัสดิการเบื้องต้นนั้น ได้มีการเพิ่มขึ้นมาจาก 212,000 ไปจนถึง 216,000ราย และการขอรับเหมือนเดิม จาก 1,721,000 ถึง 1,767,000ราย ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ ดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจ ควรแสดงให้เห็นถึง ความไม่แน่นอนของดัชนีในภาคการบริการ โดยมีดัชนีการผลิตที่ได้ลดลงไปจาก 55.3 ไปเป็น 55.2 ซึ้งนี้เอง เป็นผลมาจากการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้น โดยนี้เป็นสิ่งที่แปลกอย่างมาก เนื่องจากคำสั่งซื้อสินค้าคงทน ก็ควรเพิ่มขึ้นไปถึง 0.8% ดังนั้นแล้ว มันจึงมีแนวโน้มที่ ดัชนีการผลิตจะแสดงถึงการเติบโตที่จะเกิดขึ้น
ในยุโรป มีข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมการก่อสร้าง โดยที่เพิ่มขึ้นมาจาก 2.0% ไปเป็น 2.6% เช่นเดียวกันกับในสหรัฐอเมริกา ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจ จะมีการนำเสนอออกมา และมันก้สามารถแสดงให้ทราบถึง การเติบโตของภาคบริการจากเดิมใน 54.2 ไปเป็น 55.0 ขณะที่ดัชนีการผลิต ได้ลดลงไปจากเดิมที่ 55.1 ไปเป็น 54.6 เมื่อลองพิจารณาจากน้ำหนักที่มากขึ้นของภาคบริการ ก็จะพบว่า ดัชนีคอมโพสิตสามารถเติบโตขึ้นจาก 54.3 ไปเป็น 54.4 แต่หนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญ ในรอบสัปดาห์นี้ ก็คือการนำเสนอรายงานการประชุมของธนาคารกลางแห่งยุโรป เกี่ยวกับนโยบายการเงิน นักลงทุนหลายคน หวังว่าจะได้พบกับ การยืนยันว่า หลังจากเดือนธันวาคมเป็นต้นไปนั้น ธนาคารกลางแห่งยุโรป จะไม่ขยายการผ่อนคลายเชิงปริมาณออกไป ซึ่งจะทำให้ความมั่นใจเกิดขึ้นกับสกุลเงินยูโร เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในประเทศในแถบยุโรป ยังคงเติบโตขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ธนาคารกลางแห่งยุโรป สามารถบรรลุเป้าหมายได้ แล้วก็ยังอยู่ในช่วงกลางปีหน้า ที่คุณจะสามารถรอเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่จะพบกับ การปรับเพิ่มอัตราการรีไฟแนนซ์ ดังนั้น มันจึงอาจจะกลายเป็นว่า เงินยูโรจะสามารถเติบโตได้ไปถึง 1.1475 แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้าหากสิ่งที่เกิดขึ้นใน Jackson-Hole จะเป็นส่วนที่ช่วยสร้างผลที่ดีให้กับเงินดอลลาร์ จากความน่าจะเป็นเช่นนั้น แม้ว่า จะไม่มากนัก เนื่องจากเงินยูโรจะลดลงเหลือ 1.1350
ในสหราชอาณาจักรอังกฤษพบว่า ยังมีข้อมูลออกมาเพียงเล็กน้อย แต่การคาดการณ์สำหรับพวกเขาอยู่ในช่วงบวกอย่างมาก โดยเฉพาะ การกู้ยืมเงินของภาครัฐ อาจลดลงไป 2.3 พันล้านปอนด์ โดยจะมาพร้อมกับแรงกระตุ้นอื่นๆ และการช่วยเหลือเงินปอนด์ นอกจากนี้ จำนวนของการจำนองที่ได้รับการอนุมัติ ก็จะเพิ่มขึ้นจาก 40,541 ไปเป็น 40,944 และ เนื่องจากความสำคัญอย่างมาก ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักรอังกฤษ จึงทำให้เงินปอนด์จะมีอีกเหตุผลหนึ่ง สำหรับการเติบโตที่เพิ่มเข้ามา ดังนั้นมันจึงมีแนวโน้มว่า เงินปอนด์จะสามารถเติบโตไปถึง 1.2825 แต่ เช่นเดียวกับเงินสกุลยูโร ที่ส่วนมากจะขึ้นอยู่กับ การนำเสนอข่าว ที่จะมาจาก Jackson Hole และมีโอกาสอันน้อยนิ ที่ปอนด์จะปรับตัวไปที่ระดับ 1.2650 ในตอนท้ายๆของรอบสัปดาห์
ทางด้านเงินรูเบิล ทุกอย่างดูค่อนข้างน่าสนใจยิ่งขึ้น เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลใดๆ ที่ออกมา และพวกเขาเองก็มีอิทธิพลไม่เพียงพอต่อเงินรูเบิล สำหรับเงินรูเบิลนั้นจะขึ้นอยู่กับ ปัจจัยทางการเมือง และการใช้งานมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ ที่มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 22 เดือนสิงหาคม ที่เป็นหนึ่งในนั้น ที่จริง การตัดสินใจที่จะใช้ มาตรการคว่ำบาตรแบบใหม่ ได้ส่งผลกระทบต่อเงินรูเบิล แล้วความจริงในช่วงการเริ่มต้นการเคลื่อนไหวของพวกเขา จะไม่ทำให้เกิดผลกระทบใหม่ ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม รูปแบบของข้อเท็จจริงที่ว่า การคว่ำบาตรเช่นนี้ จะก่อให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมอย่างมาก ต่ออุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซของรัสเซีย และตลอดทั้งเศรษฐกิจ ที่กำลังเป็นที่เจรจากันอยู่ แน่นอนว่า การดำเนินการเช่นนั้นได้เพิ่มมูลค่าราคาขึ้นมาอย่างมาก ตั้งแต่ช่วงแรกใน ปี2014 ในตอนแรกนั้น บริษัทน้ำมันและก๊าซของประเทศรัสเซีย ได้สูญเสียโอกาสจริงที่จะได้รับสินเชื่อจากธนาคารในภูมิภาคตะวันตก เช่นเดียวกับข้อจำกัดในการจัดหาอุปกรณ์
แต่ในท้ายที่สุด ทางบริษัทหลายแห่ง ยังคงทำงาน และในปีที่ผ่านมา มีการกำหนดสถิติของการผลิตน้ำมัน ส่วนการสนทนา ที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า การห้ามนำเข้าน้ำมันจากประเทศรัสเซีย และการซื้อหุ้นของรัสเซีย อาจมีการกำหนดออกมาภายหลังตามมา แต่ก็ยังเป็นเพียงแผนการ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวจะทำให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจในระดับโลกทั้งหมด และนี้เป็นคำบอกเล่าจากนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน และสื่อที่เชื่อถือ ดังนั้นเงินรูเบิลจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมา และเงินดอลลาร์จะลดระดับลงไปถึง 66 รูเบิล
